วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557


 ถั่งเช่า

 

ถั่งเช่า (蟲草; chong cao) หรือ ตังถั่งเช่า (冬蟲草; dong chong cao) หรือ ตังถั่งแห่เช่า(冬蟲夏草; dong chong xia cao) เป็นสมุนไพรจีน มีความหมายว่า "หญ้าหนอน" หรือ "ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า" เกิดจากหนอนผีเสื้อแถบที่ราบสูงทิเบต ที่จำศีลอยู่ใต้ดินในฤดูหนาว ถูกสปอร์ของเห็ดราในสกุล Ophiocordyceps อาศัยเป็นปรสิตและเติบโตสร้างเส้นใยออกมาทางส่วนหัวของตัวหนอนในฤดูร้อน เห็ดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ophiocordyceps sinensis

เห็ดถั่งเช่าพบในทิเบต มณฑลชิงไห่ มณฑลเสฉวน มณฑลกานซู มณฑลยูนนาน และแถบเทือกเขาหิมาลัยในอินเดีย ภูฏาน และเนปาล มีสรรพคุณในการบรรเทาอาหารหย่อนและเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ รวมถึงเชื่อว่ารักษาโรคมะเร็งได้อีกด้วย มีความต้องการในท้องตลาดสูง และมีราคาแพง



สาเหตุที่ถั่งเช่าได้ถูกเรียกชื่อนี้ เนื่องจากมีสรรพคุณรักษาโรคได้หลายชนิดนั่นเอง เนื่องจากมีสารประกอบหลายอย่าง โดยเฉพาะสารคอร์ไดซิปิน (cordycepin) สารโพลีเซคคาไรด์ (cordyceps polysaccharide)สารอะดีโนซีน (adenosine) และสารอื่นๆ ที่บำรุงเซลส์ส่งผลให้เซลส์แข็งแรงทำให้ร่างกายแข็งแรง จึงเรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่ยืดชีวิตให้แก่คนนั่นเอง
ซึ่งถั่งเช่าเป็นที่เล่าขานว่าเป็นยาอายุวัฒนะ (elixir of life) เป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานนับพันๆปี ในอดีตจัดเป็นสมุนไพรที่หายาก และมีแต่จักรพรรดิเท่านั้นที่ได้เสวย ในปัจจุบัน ถั่งเช่าที่เก็บจากธรรมชาติมีราคาสูงถึง 1.3 ล้านบาทต่อกิโลกรัม จึงได้มีการเพาะเลี้ยงเส้นใยทดแทน

Picture



สรรพคุณ

ถั่งเช่าถูกนำไปผสมกับหนอนตามสูตรยาจีนเพื่อปรุงยาบำรุงร่างกาย ยาบำรุงร่างกายที่ปรุงได้จะมีสรรพคุณหลายประการ อาทิ บำรุงไต เสริมระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการภูมิแพ้ บรรเทาอาการไอและละลายเสมหะ บรรเทาอาการหอบหืด บรรเทาอาการหย่อนและเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ชะลอความชรา และเป็นยาบำรุงที่ดีสำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้

นอกจากนี้จากรายงานทางการแพทย์ พบว่าสารสกัดจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด กระตุ้นสมรรถภาพการทำงานของต่อมหมวกไต เสริมภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยโรคไต (ลดจำนวนครั้งของการฟอกไต) สมานแผลจากโรคเบาหวาน ลดการเติบโตของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง

ที่มา:www.cordythai.com, สารานุกรม google, :www.thaibio.com

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำผึ้ง



น้ำผึ้งทานอย่างไรถึงจะได้ผลดี
1. บำรุงสุขภาพ น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน
2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้
3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง ½ -1 ช้...อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน
4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน
5 .ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะ น้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร
7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน
8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน
9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว
10. เด็กแหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม
11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกมื้ออาหาร
12. ล้างแผลฝีหนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่เย็นแล้วล้างให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผล ไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง
14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอน
15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรค ตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งเป็น ประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็นประจำ
18. เสียน้ำหรือเสียเลือด( 10-20 % ) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ถ้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก http://goo.gl/MXgGoH
ขอบคุณภาพจาก http://goo.gl/pWS1vx

 

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

ใบหูเสือ

 

 
ต้นใบหูเสือ แก้ไอ แก้คออักเสบ

หูเสือเป็นผักกลิ่นหอมฉุน รสเผ็ดร้อน มีรสเปรี้ยวแทรกอยู่เล็กน้อย รสชาติของหูเสือ บางคนบอกว่าคล้ายกับออริกาโน ที่ใช้ประกอบอาหารฝรั่งชนิดหนึ่ง บางคนก็รับประทานหูเสือไม่ได้เพราะมันมีรสเผ็ดร้อน กลิ่นฉุน แต่ก็ไม่ได้...ฉุนมากมายอะไรนักหนานอกจากเป็นผักสดแล้ว ยังนำใบหูเสือมาทำอาหารได้ด้วย

นิยมปลูกไว้ที่บ้านเพื่อเก็บยอดอ่อนหรือใบอ่อนรับประทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก ลาบ ก้อย ยำ ใช้แทนผักชีฝรั่ง(ผักชีใบเลื่อย)บ้าง ใช้แทนออริกาโนบ้าง หรือใช้ใส่ในอาหารเนื้อสัตว์เพื่อดับกลิ่นคาวและช่วยย่อยเนื้อสัตว์บ้าง เพื่อดับกลิ่นคาวและทำให้อาหารมีกลิ่นหอม ขยายพันธุ์ ด้วยการปักชำ ขึ้นได้ดีกับทุกสภาพดิน ชอบความชื้นมาก แสงแดดปานกลาง

สรรพคุณ
- แก้ลดไข้ นำใบมาคั้นน้ำ ดื่ม ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สำหรับเด็กดื่ม 1-2 ช้อนชา ผู้ใหญ่ 1-2 ช้อนโต๊ะ
- แก้คัดจมูก นำใบมาต้ม สูดไอน้ำ เพื่อบรรเทา
- ลดเสมหะ นำใบสดมาต้ม ใส่ใบกระวานและกานพลูนิดหน่อยผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ดื่มวันละ 2 ครั้ง ดื่มติดต่อกัน 3 วัน
- แก้หอบหืด นำใบมาต้มดื่ม เพื่อบรรเทา สำหรับเด็กดื่มปริมาณ 5-10 มิลลิกรัม ผู้ใหญ่ 20-30 มิลลิกรัม
- เจ็บคอและไอ เด็ดใบสด ๆ 2 ใบ บดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง 1/2 ช้อนชา
- แก้อาการนอนไม่หลับ นำใบมาต้ม ดื่มน้ำแทนน้ำชา

 

กล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้ง

วันนี้มีสูตร กล้วยดองน้ำผึ้ง
อาหารเสริมชั้นเลิศมาฝากทุกคนค่ะ
ส่วนประกอบ
1 พริกไทยดำ บุบๆ พอแตก 100 เม็ด
2 ขิงสดฝานเป็นแง่งบางๆ 1 แง่ง
3 กล้วยน้ำว้าสุกคาต้น 1 หวี
4 น้ำผึ้งแท้
5 โหลแก้ว ขนาด พอประมาณ
(ให้สูงกว่ากล้วยวางแนวตั้ง)
วิธีทำ
นำพริกไทยและขิงสดเรียงไว้ก้นโหล
ปลอกกล้วยน้ำว้าใส่เรียงตามลงในแนวตั้ง...เรียงจนกล้วยเต็มโหล แล้วเติมน้ำผึ้งแท้
...ตามลงไปจนท่วมกล้วยมิด ปิดฝาโหลตั้งทิ้งเอาไว้ สามวัน
จากนั้นนำกล้วยมากิน
เช้า 1 ลูก
เย็น 1 ลูก
ถ้ากล้วยใกล้หมดให้เติมกล้วยลงไปใหม่ หมักต่อไป...ทานได้เรื่อยๆ
สรรพคุณ
บำรุงดี ภูมิแพ้หาย ร่างกาย แข็งแรง

ที่มา กานต์ชนกคลินิกการแพทย์แผนไทย
 

ประโยชน์ของใข่



 









กินไข่กัน
อ่านเจอ.... เลยเก็บมาฝาก....

โดนฝรั่งหลอกว่าไข่ไก่กินไม่ดี ไขมันสูง ลองมาอ่านของจริงบ้างเป็นอย่างไร เราโง่มานานแล้ว

คลอเรสเตอร์รอลมันเกิดจากการกินอาหารเพียง 20 %แต่มันสร้างโดยตับเราเองถึง 80% แล้วการสร้างอนุมูลอิสระตัว HDL ซึ่งเป็นตัวมี...ประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีที่สุดคือ การกินไข่ จะได้เพิ่มถึง 48% เชียวนะ

ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่ มีประโยชน์มาก...โปรดอ่านและเผยแพร่ แก่ผู้ใกล้ชิดด้วย เห็นว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ.... หากใครได้ดูรายการ 'ข้อเท็จจริง..วันนี้' ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับ เรื่อง 'ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่ ' เรื่องที่มีการการ สนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวัน นั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด

คุณหมอ บอกว่า อยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย เพราะข้อเท็จ จริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่ มากด้วยคุณค่า และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การที่หลายๆคน มีระดับคลอเสลเตอรอล ในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่ มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไป เพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อยหรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การ รับประทานไข่ ทุกวันๆละอย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก

คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ คุณหมอรักษา ผู้สูงอายุหลายๆคนที่มา ให้การรักษาในหลายๆโรค ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟองผลก็คืออาการของโรค ที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ก็กลับมาเดินได้.......นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้ (หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู) พร้อมกันนี้
ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภค ไข่ต่อคนสูงสุดก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ
คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่ มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล.... การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี

อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย ไข่นี่แหละสุดยอด ของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ คุณหมอยังเสริมว่า ภาวะเลือด ที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี เพราะการนำสารอาหาร ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย จะไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน

กำจัดและไล่แมลงศัตรูพืช




 
...มาแล้วค่ะ ทั้งฆ่าทั้งไล่.....
........สูตร1...เหล้าขาว1ขวดใหญ่ น้ำส้มสายชูกลั่น5% 1ขวดใหญ่ ยาฉุน2ขีด คนให้เข้ากันแช่รวมกันไว้ 1คืน ใช้อัตราส่วน 2ช้อนโต้ะต่อน้ำ10ลิตร
........สูตร2...น้ำส้มสายชู1ขวดใหญ่ พริกสด1ขีดหรือ1กำมือ โขลกพริกผสมน้ำ...ส้มหมักไว้1คืน ใช้อัตราส่วน 2ช้อนโต้ะต่อน้ำ 10ลิตร
........สูตร3...เหล้าขาว 2แก้ว น้ำส้มสายชู 1แก้ว EM 1แก้ว กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง 1แก้ว ผสมทั้งหมดหมักไว้ 1คืน ใช้อัตราส่วน 5-10ช้อนโต้ะต่อน้ำ 20ลิตร
*****ทั้ง3สูตร เป็นยาฆ่าแมลง เวลาใช้ให้เจือจางตามสูตรที่ให้ค่ะแล้วเติมน้ำยาล้างจานด้วย 1ชันชา เพือให้น้ำยาที่ฉีดจับใบหรือเกาะที่ใบพืชของเรานานๆค่ะ
........จากภาพด้านบน ทั้งเพลี้ย หนอนหลอด บุ้ง มด.... ตายภายในไมีถึง5นาทีเลยค่ะตายแบบเพลี้ยไหม้เลยล่ะ.........อย่าใช้อัตรส่วนที่เข้มข้นมากไปนะคะ เพราะอาจทำให้ใบไหม้และตายได้ เพราะจะได้ผลดีคือฉีดตอนแดดจัดค่ะ

........สูตรขับไล่....
....สูตร1....น้ำจากการดองผักต่างๆหรือน้ำดองหน่อไม้ส้ม 5ช้อนโต้ะต่อน้ำ 10ลิตร
....สูตร2....ข่าแก่ ใบขี้เหล็ก ใบสะเดา
ตำทุกอย่างพอแตก ผสมน้ำเปล่าพอท่วมหมักไว้ 1คืน
....สูตร3....ใบสาบเสือ ใบน้อยหน่า ใบกระถิน โขลกรวมกันให้ช้ำจนมีกลิ่นฉุนออกมา ผสมน้ำพอท่วมหมักไว้ 1คืน
......ทั้ง3สูตร ใช้อัตรา 5 ช้อนโต้ะต่อน้ำ10ลิตรและเพิ่มน้ำยาล้างจาน 1ช้อนชาค่ะ เพื่อจับใบ ฉีดให้เปียกชุ่มทั้วทรงพุ่มเลยนะคะใต้ใบด้วยค่ะ อาทิตย์ละครั้ง จะไม่มีแมลงมารบกวนเลยค่ะ


วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

ฝาง



 

 

 
 
 
ฝาง เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณเยี่ยมอีกชนิดหนึ่ง นำไปผสมผสานกับตัวยาสมุนไพรต่างๆได้มากมาย เอกลักษณ์ของฝางเสนคือ แก่นเนื้อไม้จะเป็นสีแดง (ฝางเสนมีแก่นสีแดงเข้ม ส่วนฝางส้มมีแก่นสีเหลือง) ซึ่งสมัยโบราณนิยมนำมาใช้ในการย้อมผ้า แต่งสีขนม และผสมน้...ำดื่ม ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า คลายร้อน ที่รู้จักกันดีในชื่อ “น้ำยาอุทัย” นั่นเอง

ฝาง มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Caesalpinia sappan Linn ชื่อภาษาอังกฤษว่า Sappan Tree มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น ฝางเสน(กลาง), ฝางส้ม(กาญจนบุรี), ง้าย(กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), หนามโค้ง(แพร่) และโซปั้ก(จีน) พบได้ทั่วไปในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าเขาหินปูนแห้งแล้ง และตามชายป่าดงดิบทั่วประเทศไทย ส่วนในต่างประเทศ พบได้ที่อเมริกาใต้ ปลูกกันอย่างกว้างขวางตลอดเขตร้อน อินเดีย ศรีลังกา พม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้

ลักษณะของฝาง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 5-10 เมตร มีหนามตามลำต้นและกิ่งก้าน ใบเรียงกันคล้ายใบหางนกยูงไทย ดอกออกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอดของต้น มีสีเหลือง กลางดอกเป็นสีแดง ออกดอกระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน ผลเป็นฝักรูปสี่เหลี่ยมแบน แข็ง สีน้ำตาลเข้ม ให้ผลแก่ระหว่างเดือนสิงหาคม-กุมภาพันธ์

ตามตำรับยาแผนโบราณ ฝางจัดเป็นยาเย็น แก่นฝางมีสรรพคุณบำรุงโลหิต ขับประจำเดือน แก้ปอดพิการ ขับเสมหะ แก้ร้อนใน ช่วยลดความร้อนในร่างกาย กระหายน้ำ แก้ไอ ขับระดู เป็นยาบำรุงโลหิตสตรี แก้ธาตุพิการ แก้เลือดกำเดา แก้โลหิตออกทางทวารหนัก และแก้อาการเลือดออกภายในอวัยวะต่างๆ เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือในลำไส้ หรือคนที่ขาดวิตามินเค มักเลือดไหลหยุดช้า คนที่เส้นเลือดฝอยเปราะแตกง่าย และคนที่มีเลือดกำเดาออกบ่อย ดื่มน้ำฝางจะค่อยๆ ช่วยให้เลือดหยุดไหลได้ และยังใช้แก่นฝางฝนกับน้ำเป็นยาทาภายนอกในโรคผิวหนังบางชนิด เพื่อฆ่าเชื้อโรค ขับหนอง

ส่วนเปลือก ลำต้น และเนื้อไม้ ใช้รักษาวัณโรค ท้องเสีย และอาการอักเสบในลำไส้ เป็นยาฝาดสมานและรักษาแผล

สาร Brazilin ที่สกัดได้จากแก่นฝางมีฤทธิ์ระงับการอักเสบได้ดี จึงทำให้มีผลระงับอาการหอบหืดได้ด้วย รวมทั้งสารนี้ยังสามารถยับยั้งไม่ให้ร่างกายสร้างสาร Histamine จึงน่าจะช่วยป้องกันโรคหืดได้

นอกจากนี้ ยังพบสารอีกชนิดหนึ่งในแก่นฝางที่ระงับเชื้อโรคได้ คือสาร Sappanin และในเปลือกฝางมีสาร Tannin อยู่มาก สามารถแก้ท้องเสีย ท้องร่วง หรือบิดอย่างอ่อน ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ แก้ไข้ รักษาโรคทั่วไป และฆ่าเชื้อโรคบางชนิดได้

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของฝาง นอกจากต้านเชื้อแบคทีเรียแล้ว ยังสามารถต้านเชื้อรา ไวรัส ยีสต์ ยับยั้งเนื้องอก กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และยั้บยั้งการแพ้ได้ด้วย

และเหตุที่สาร Brazilin มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ในประเทศฮังการี มีรายงานว่า ใช้รักษาโรคหัวใจกบที่ถูกสารพิษเป็นผลสำเร็จ และสารนี้ไม่เป็นอันตราย แม้จะดื่มเข้าไปมาก ก็ไม่เกิดการสะสมตกค้างในร่างกาย 
 
    

สรรพคุณของฝาง

  1. เนื้อไม้และแก่นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ธาตุพิการ (เนื้อไม้,แก่น)[1],[3],[5]
  2. เมล็ดแก่แห้ง นำไปต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคความดันโลหิตสูง หรืออาจบดเป็นผงกินก็ได้ (เมล็ด)[8]
  3. เปลือกลำต้นและเนื้อไม้ สามารถนำมาใช้ต้มรับประทานเป็นยารักษาวัณโรคได้ (เปลือกต้น,เนื้อไม้)[11]
  4. ตำรับยาบำรุงร่างกายทั้งบุรุษและสตรี แก้ประดง ระบุให้ใช้แก่นฝาง แก่นไม้แดง รากเดื่อหอม อย่างละเท่ากัน นำมาต้มกิน (แก่น)[16]
  5. ตำรับยาบำรุงกำลัง ระบุให้ใช้แก่นตากแห้ง ผสมกับเปลือกต้นนางพญาเสือโคร่ง ตานเหลือง ข้าวหลามดง โด่ไม่รู้ล้มต้มน้ำ ม้ากระทืบโรง มะตันขอ ไม้มะดูก หัวข้าวเย็น และลำต้นฮ่อสะพายควาย ดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง แก้อาการปวดเมื่อย (แก่น)[8] หรืออีกตำรับระบุให้ใช้แก่นฝาง กำลังช้างสาร ม้ากระทืบโรง และรากกระจ้อนเน่า อย่างละเท่ากัน นำมาต้มกับน้ำดื่ม และอีกตำรับระบุให้ใช้แก่นฝาง 1 บาท, ดอกคำไทย 2 สลึง นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว เอา 1 แก้ว ใช้แบ่งรับประทานเช้าเย็นเป็นยาบำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย และแก้กษัย (แก่น)[16]
  6. ตำรับยาแก้กษัย ระบุให้ใช้แก่นฝาง เถาวัลย์เปรียง และรากเตย อย่างละเท่ากัน นำมาต้มกับน้ำกิน หรืออาจเติมน้ำตาลให้พอหวานเพื่อช่วยทำให้รสชาติดีขึ้นด้วยก็ได้ (แก่น)[16]
  7. แก่นฝางมีรสฝาด เค็ม ชุ่ม เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและตับ ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงโลหิต และใช้ปรุงเป็นยาบำรุงโลหิตของสตรี (แก่น)[1],[2],[3],[4],[5]
  8. ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก แก้เส้นเลือดอุดตัน กระจายเลือดที่อุดตัน แก้อาการหัวใจขาดเลือด ทำให้จุกเสียดแน่นและเจ็บหน้าอก (แก่น)[1],[7]
  9. ช่วยแก้โลหิต แก้ไข้กำเดา แก้กำเดา ทำให้โลหิตเย็น (แก่น)[1],[3],[5]
  10. แก่นใช้เป็นยาแก้ไข้หวัด ไข้ตัวร้อน (แก่น)[1],[16] ตำรับยาแก้ไข้ตัวร้อน ระบุให้ใช้แก่นฝาง 70 กรัม, ผงโกฐน้ำเต้า 30 กรัม, และน้ำประสานทองบดเป็นผง 15 กรัม นำมารวมกันต้มให้เป็นน้ำเหลว แล้วเติมเหล้าเข้าผสม ใช้รับประทานครั้งละ 30 ซีซี วันละ 2 ครั้ง (แก่น)[7] บ้างว่าใช้แก้ไข้สัมประชวรได้ด้วย (แก่น)[14]
  11. ตำรับยาแก้ไข้ทับระดู ระบุให้ใช้ฝางเสน เกสรบัวหลวง แก่นสน รากลำเจียก รากมะพร้าว รากมะนาว รากเท้ายายม่อม รากย่านาง ดอกบุนนาค ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกสารภี จันทน์ขาว จันทน์แดง สักขี อย่างละ 1 บาท นำมาบดให้เป็นผงชงกับน้ำร้อน ใช้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา โดยให้จิบบ่อยๆ จนกว่าไข้จะสงบ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[19]
  12. น้ำต้มแก่นฝาง มีสรรพคุณช่วยแก้อาการร้อนใน แก้กระหายน้ำได้ดี (แก่น)[1],[3],[5] เนื้อไม้มีสรรพคุณแก้ร้อนใน (เนื้อไม้)[1]
  13. แก่นและเนื้อไม้มีสรรพคุณแก้เสมหะ ขับเสมหะ (เนื้อไม้,แก่น)[1],[3],[4],[5]
  14. ช่วยแก้อาการไอ แก้หวัด (แก่น)[2],[16] ตามตำรับยาระบุให้ใช้แก่นฝางหนัง 3 บาท, ตะไคร้ 3 ต้น ทุบให้ละเอียด, น้ำ 1 ลิตร ใส่น้ำปูนใสเล็กน้อย แล้วต้มพอให้ได้น้ำยาสีแดง ใช้รับประทานครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 เวลา หรืออาจผสมน้ำตาลกรวดด้วยก็ได้ (แก่น)[16] ส่วนอีกตำรับยาหนึ่ง ซึ่งเป็นตำรับยาแก้ไอ ไอแบบเป็นหวัดและเจ็บคอ ไอแบบคอแห้ง หรือไอแบบหอบหืด และผู้ที่ไอจากวัณโรคก็บรรเทาได้เช่นกัน รวมไปถึงอาหารปอดหรือหลอดลมอักเสบก็จิบยาแก้ไอขนานนี้ได้ โดยตำรับยาแก้ไอฝาง ประกอบไปด้วยเนื้อไม้ฝาง 200 กรัม, พริกไทยร่อน 200 กรัม, กานพลู 50 กรัม, สารส้ม 50 กรัม, การบูร 25 กรัม, เมนทอล 25 กรัม, เปลือกหอยแครงแล้วทำเป็นปูนขาว 15 กรัม, ดีน้ำตาลหรือใช้น้ำตาล 2.5 กรัม, และน้ำสะอาด 5 ลิตร ส่วนวิธีการปรุงยาให้นำเนื้อไม้ฝางมาสับเป็นซี่เล็กๆ คล้ายไม้จิ้มฟัน แล้วนำไปต้มกับน้ำให้เดือดประมาณ 15-30 นาที และสำหรับส่วนผสมอื่นๆ ให้นำมาตำให้ละเอียด เก็บใส่ไว้ในโหลก่อน จากนั้นนำน้ำยาต้มฝางที่รอจนอุ่นแล้วมาทาใส่ลงในโหลที่มีตัวยาอื่นๆ ผสมอยู่ และให้แช่ยานี้ไว้ประมาณ 2-3 วัน (คนยาวันละ 3 ครั้ง) เมื่อครบวันแล้วให้กรองเอาเฉพาะน้ำยามาเก็บไว้ใส่ขวดที่สะอาดเก็บไว้จิบกินตอนมีอาการไอ (ยาแก้ไอฝางสูตรนี้ไม่ควรกินต่อเนื่องกันนานจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้มีอาการมึนศีรษะและมีความดันต่ำได้ ดังนั้นเมื่อกินจนอาการไอหายแล้วก็ให้หยุดกิน) (เนื้อไม้)[17]
  15. ช่วยแก้โรคหืดหอบได้ด้วย (แก่น)[11],[14] ตามตำรับยาระบุให้ใช้แก่นฝางเสน, แก่นแสมสาร, เถาวัลย์เปรียง, ใบมะคำไก่ อย่างละ 2 บาท 2 สลึง ใส่น้ำพอท่วมยา แล้วต้มให้เดือด 10 นาที นำมากินต่างน้ำให้หมดภายในวันนั้น พอวันต่อมาให้เติมน้ำเท่าเดิม ต้มเดือด 5 นาที แล้วกินเหมือนวันแรก ต้มกินจนยาจืดประมาณ 5 วัน แล้วค่อยเปลี่ยนยาใหม่ โดยให้ต้มกินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาย (แก่น)[16]
  16. ช่วยแก้ปอดพิการ (แก่น)[1],[3],[4],[5]
  17. ช่วยแก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน ใช้ฝาดสมานโรคท้องร่วง ตำรายาไทยระบุให้ใช้แก่นฝางหนัก 3-9 กรัม นำมาต้มกับน้ำ 500 มิลลิเมตร แล้วเคี่ยวให้เหลือครึ่งหนึ่ง ใช้ดื่มเป็นยาแก้ท้องร่วง หรือจะใช้ฝาง 1 ส่วน ต่อน้ำ 20 ส่วน นำไปต้มเคี่ยว 15 นาที ใช้รับประทานครั้งละ 2-4 ช้อนโต๊ะ หรือ 4-8 ช้อนแกงก็ได้เช่นกัน (เนื้อไม้,แก่น)[1],[2],[3],[5],[6],[8] ส่วนน้ำมันหอมระเหยมีสรรพคุณเป็นยาสมานอย่างอ่อน แก้อาการท้องเดิน (น้ำมันระเหย)[9]
  18. ช่วยแก้บิด (แก่น)[1],[7]
  19. ใช้เป็นยาสมานลำไส้ (แก่น)[1],[7]
  20. แก่นนำมาต้มกินเป็นยารักษาโรคนิ่วร่วมกับแก่นต้นคูน รากมะเดือยหิน หญ้าถอดปล้อง และใบสับปะรด (แก่น)[8]
  21. ช่วยแก้ปัสสาวะขุ่นข้น ด้วยการใช้แก่นฝาง เถาวัลย์เปรียง และรากเตย อย่างละเท่ากัน นำมาต้มกับน้ำกิน หรืออาจเติมน้ำตาลให้พอหวานเพื่อช่วยทำให้รสชาติดีขึ้นด้วยก็ได้ (แก่น)[16]
  22. ช่วยแก้โลหิตออกทางทวารหนักและทวารเบา ช่วยแก้โลหิตตกหนัก (เนื้อไม้,แก่น)[1],[3],[5]
  23. ฝางนิยมใช้เข้าตำรับยาบำรุงโลหิต ฟอกโลหิตในกลุ่มยาสตรี เนื่องจากมีสรรพคุณช่วยทำให้เลือดดี เช่น ช่วยขับโลหิตระดูของสตรี ด้วยการใช้ฝางเสนหนัก 4 บาท และแก่นขี้เหล็ก 2 บาท นำมาต้มกินก่อนประจำเดือนจำมา จะช่วยทำให้ประจำเดือนไม่น่าเสียและมาสม่ำเสมอ ช่วยแก้พิษโลหิตร้าย เป็นยาขับประจำเดือน และบำรุงโลหิต (แก่น)[19]
  24. แก่นใช้เป็นยารักษาอาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติของสตรี ช่วยขับระดู (แก่น)[1],[4],[5],[7] ส่วนเนื้อไม้มีสรรพคุณเป็นยาขับระดูอย่างแรง (เนื้อไม้)[1],[3] ตำรายาแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือประจำเดือนปิดกั้นไม่มา ให้ใช้แก่นฝาง 70 กรัม, ผงโกฐน้ำเต้า 30 กรัม, และน้ำประสานทองบดเป็นผง 15 กรัม นำมารวมกันต้มให้เป็นน้ำเหลว แล้วเติมเหล้าเข้าผสม ใช้รับประทานครั้งละ 30 ซีซี วันละ 2 ครั้ง (แก่น)[7] ส่วนอีกตำราระบุให้ใช้แก่น 5-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เติมเนื้อมะขามเปียกที่ติดรก (ไม่รวมเมล็ด) ประมาณ 4-6 ฝัก แล้วนำไปเคี่ยวจนเหลือ 1 แก้ว ใช้รับประทานเช้าและเย็น (แก่น)[8] และอีกข้อมูลหนึ่งระบุว่าเปลือกลำต้นและเนื้อไม้ มีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องเสียและแก้อาการอักเสบในลำไส้ (เปลือกต้น,เนื้อไม้)[11]
  25. ช่วยลดอาการปวดมดลูกของสตรีหลังการคลอดบุตร (แก่น)[1],[7]
  26. ช่วยคุมกำเนิด (แก่น)[14]
  27. ช่วยแก้ดี และโลหิต (เนื้อไม้)[1]
  28. ช่วยขับหนอง ขับหนองในฝีอักเสบ (แก่น)[1],[7]
  29. ช่วยแก้คุดทะราด (แก่น)[2]
  30. ช่วยรักษามะเร็งเพลิง (แก่น)[14]
  31. ใช้เป็นยาฝาดสมานและรักษาแผล (เปลือกต้น,เนื้อไม้)[11]
  32. แก่นฝางนำมาฝนกับน้ำใช้เป็นยาทารักษาโรคผิวหนังบางชนิด และฆ่าเชื้อโรคได้ (แก่น)[1],[3],[6]
  33. ช่วยแก้น้ำกัดเท้า ด้วยการใช้แก่นฝาง 2 ชิ้น นำมาฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นๆ แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่น้ำกัดเท้า จะช่วยฆ่าเชื้อและสมานแผลได้ (แก่น)[2],[8]
  34. แก่นใช้เป็นยาแก้ปวด แก้บวม ปวดบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ช้ำใน (แก่น)[1],[7],[10] ตำรายาแก้ฟกช้ำ ระบุให้ใช้แก่นฝาง 60 กรัม นำมาบดเป็นผงผสมกับเหล้า แบ่งกิน 3 ครั้ง ใช้รับประทานตอนท้องว่าง (แก่น)[7]
  35. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย (แก่น)[1] ตามตำรายาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ระบุให้ใช้แก่นฝาง 70 กรัม, ผงโกฐน้ำเต้า 30 กรัม, และน้ำประสานทองบดเป็นผง 15 กรัม นำมารวมกันต้มให้เป็นน้ำเหลว แล้วเติมเหล้าเข้าผสม ใช้รับประทานครั้งละ 30 ซีซี วันละ 2 ครั้ง (แก่น)[7]
  36. กิ่งนำมาตัดเป็นท่อนๆ นำไปตากแห้ง แล้วนำไปต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดหลังปวดเอว (กิ่ง)[8]
  37. เนื้อไม้ใช้เป็นส่วนผสมหลักในตำรับยาบำรุงหลังการคลอดบุตรของสตรี (เนื้อไม้)[1]
  38. เนื้อไม้ใช้ผสมกับปูนขาว นำมาบดใช้ทาหน้าผากสตรีหลังการคลอดบุตร จะช่วยทำให้เย็นศีรษะ และช่วยลดอาการเจ็บปวด (เนื้อไม้)[1]
  39. ตำรายาพระโอสถพระนารายณ์ เป็นตำรับยาที่ใช้แก้ความผิดปกติของอาโปธาตุหรือธาตุน้ำ โดยประกอบไปด้วยเครื่องยา 2 สิ่ง คือ ฝางเสนและเปลือกมะขามป้อม อย่างละเท่ากัน นำมาต้มกับน้ำ 4 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน ใช้กินเป็นยาแก้อาการท้องเสียอย่างแรงและเป็นยาแก้บิด (แก่น)[2]
  40. นอกจากนี้ยังใช้ฝางในการรักษาโรคอีกหลายชนิด เช่น โรคประดง โรคไต ไข้หวัด แก้ไอ หอบหืด ขับปัสสาวะ และฝางยังเป็นสมุนไพรที่ปรากฏอยู่ในตำรับยาโบราณมากที่สุดชนิดหนึ่ง เช่น ยาหอมอินทจักร ยาจันทลีลา อยู่ในตำรับยาบำรุงโลหิตต่างๆ รวมไปถึงตำรับยาบำรุงโลหิตของสตรีจะขาดฝางเสียไม่ได้  

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นฝาง

  • แก่นฝางพบน้ำมันหอมระเหย ที่ประกอบไปด้วยสาร (a-l-phellandrene) และ (Oeimene) พบสาร brasilein, brazilin (สารที่ให้สีชมพูอมส้มถึงแดง หรือ sappan red), phellandrene, ocimene, sappanin, tannin[1],[2],[7]
  • ส่วนอีกข้อมูลหนึ่งระบุว่าแก่นฝางมีสารในกลุ่ม flavonoid ชนิด 7-hydroxy-3-(4’-hydroxybenzylidene)-chroman-4-one, 3,7-dihydroxy-3-(4’-hydroxybenzyl)-chroman-4-one, 3,4,7-trihydroxy-3-(4’-hydroxybenzyl)-chroman, 4,4’-dihydroxy-2’-methoxychalcone, 8-methoxybouducellin, quercetin, rhamnetin และสารในกลุ่ม sterols ชนิด beta-sitosterol 69.9%, campesterol มี brazilin, brazilein, protosappanin E และ taraxerol 11.2% และ stigmasterol 18.9% และ ombuin[12]
  • เมื่อนำน้ำต้มจากแก่นฝาง ให้กระต่ายทดลองกิน พบว่าจะทำให้กระต่ายมีอาการหลับได้สนิทขึ้น และหากนำน้ำต้มจาดฝางเสนมาฉีดเข้าผิวหนังของหนูหรือกระต่ายทดลอง พบว่าจะทำให้หนูหรือกระต่ายมีการหลับสนิทได้เหมือนกัน และยังพบว่ามีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดของกบหดตัวได้อีกด้วย[7]
  • สาร Brazilin มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจ ซึ่งในประเทศฮังการี มีรายงานว่า มีการใช้รักษาโรคหัวใจกบที่ถูกสารพิษเป็นผลสำเร็จ และสารนี้ไม่มีอันตราย แม้จะดื่มเข้าไปมาก ก็ไม่เกิดการสะสมตกค้างในร่างกาย[13]
  • สารสกัดจากแก่นฝางด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดของหลอดเลือดใหญ่ที่ตัดมาจากช่องอกชองหนูแรท ที่ความเข้มข้นตั้งแต่ 10 ม.ค.ก./ม.ล.[12]
  • สาร Hematein ที่แยกได้จากแก่นฝาง สามารถช่วยลดการสะสมของไขมันบริเวณผิวหนังของหลอดเลือดกระต่ายทดลองได้[12]
  • สารสกัดจากแก่นฝางด้วยเมทานอล, เมทานอล-น้ำ (1:1) และน้ำ สามารถช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ human HT-1080 fibrosarcoma cell โดยให้ค่า EC50 เท่ากับ 15.8 , 13.8 และ 17.8 ม.ค.ก./ม.ล ตามลำดับ[12]
  • สาร Brazilin ที่สกัดได้จากแก่นฝางมีฤทธิ์ในการระงับอาการอักเสบได้ดี จึงมีผลทำให้ระงับอาการหอบหืดด้วย อีกทั้งสารนี้ยังช่วยยับยั้งไม่ให้ร่างกายสร้าง Histamine จึงน่าจะช่วยป้องกันโรคหืดได้[13],[15]
  • น้ำต้มจากแก่น เมื่อนำมาให้หนูขาวทดลองกิน หรือฉีดเข้าไปในตัวของหนูขาว พบว่าจะสามารถเพิ่มการขับปัสสาวะของสัตว์ทดลองได้ แต่ถ้าให้ในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้ไม่มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ[7]
  • สารที่สกัดได้จากแก่นฝาง สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของหนูทดลองที่มีอาการปวดแสบปวดร้อนได้[7]
  • สาร brazilin ที่แยกได้จากสารสกัดแก่นฝางด้วยเมทานอล มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เท้าบวมได้ โดยการฉีด carrageenin ในขนาดใช้ 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม[12]
  • สารสกัดจากเนื้อไม้ฝางด้วยเอทานอล 70% สามารถช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus aureus, Shigella flexneri, Vibrio cholerae และ Vibrio parahaemolyticus ที่ความเข้มข้น 5 ม.ก. และสารสกัดจากเนื้อไม้ฝางด้วยเอทานอล 95% สามารถช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อ Escherichia coli และ Shigella dysenteriae ได้ ที่ความเข้มข้น 100 ม.ก.[12]
  • สาร Sappanin ในแก่นฝางมีฤทธิ์ในการระงับเชื้อโรคได้[13],[15]
  • เมื่อนำฝางเสนมาแช่ในแอลกอฮอล์จะได้น้ำยาสกัดแอลกอฮอล์ที่มีสาร Brazilin ละลายอยู่ โดยน้ำยานี้สามารถช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดไข้สูง เชื้อ Staphylococcus และโรคท้องร่วงระบาดได้[15]
  • นอกจากจะมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียแล้ว ยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา เชื้อไวรัส ยีสต์ ช่วยยับยั้งเนื้องอก ยับยั้งการแพ้ และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน[13],[15] ยับยั้งการงอกของพืชอื่นๆ ลดอาการอักเสบ เสริมฤทธิ์ของบาร์บิตูเรท ช่วยยับยั้ง hepatitis B surface antige ตกตะกอนน้ำอสุจิ ยับยั้งการหลั่งฮีสตามีน ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด[14]
  • การฉีดสารสกัดจากลำต้นของฝางแดงด้วย 50% เอทานอล เข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่าในขนาดที่ทำให้หนูทดลองตาย 50% เท่ากับ 750 มก./กก. ซึ่งถือได้ว่าสารสกัดจากลำต้นของฝางแดงค่อนข้างมีความเป็นพิษ (ไม่แน่ใจว่ารวมไปถึงฝางเสนด้วยหรือไม่)[        

ประโยชน์ของฝาง

  1. ชาวเมี่ยนจะใช้กิ่งแก่ นำไปต้มกินเป็นน้ำชา[8]
  2. ในปัจจุบันมีการนำมาแปรรูปเป็นน้ำดื่มสมุนไพรฝาง มีทั้งในรูปแบบพร้อมดื่มและแบบชง โดยมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการร้อนใน แก้เสมหะสะ บำรุงโลหิต แก้เลือดกำเดา[10]
  3. แก่นไม้เมื่อนำมาต้มกับน้ำดื่มผสมกับใบเตยหรือผลมะตูม จะช่วยให้มีสีสันสวยงาม[8]
  4. น้ำต้มจากแก่นฝางแดง จะให้สีแดงที่เรียกว่า Sappanin นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมหลักของน้ำยาอุทัย ผสมในน้ำดื่ม สีผสมอาหาร และนิยมนำมาย้อมสีผ้าไหม ผ้าฝ้าย และผ้าขนสัตว์[1],[4],[10] ส่วนฝางส้ม จะนำมาต้มสกัดสาร Haematexylin ใช้ย้อมสีนิวเคลียสของเซลล์[10]
  5. นอกจากจะใช้เนื้อไม้ในการย้อมสีแล้ว ยังนำมาทำเป็นสีทาตัวสำหรับงานเทศกาลในอินเดียอีกด้วย ซึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาเนื้อไม้ของต้นฝางถือเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ และเป็นเครื่องบรรณาการอย่างหนึ่ง และเคยเป็นสินค้าผูกขาดของรัฐอย่างหนึ่ง[11]
  6. รากของต้นฝางจะให้สีเหลือง ที่ใช้ทำสีย้อมผ้าและไหมได้ หรืออาจใช้เป็นสีผสมอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ก็ได้[1]
  7. ภูมิปัญญาชาวบ้านจะใช้แก่นของต้นฝาง (ที่เหลาเป็นไม้จิ้มฟัน) ไปตอกลงบนต้นขนุนจนถึงเนื้อไม้ จะไปกระตุ้นให้ขนุนติดลูกบริเวณที่เราตอกลงไป[12]
  8. เนื้อไม้นำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือนชั้นดี ตกแต่งชักเงาได้ดี โดยสีของเนื้อไม้จะออกแดงหรือสีน้ำตาลเข้ม[8],[10]
  9. ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับหรือปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงา (เป็นไม้ที่ให้ร่มเงาขนาดเล็ก) แต่ต้องหมั่นตัดกิ่งที่เลื้อยพันออกให้ เพื่อให้เป็นทรงตามต้องการ เมื่อออกดอกจะออกดอกดกสีเหลืองงามอร่ามเด่นชัด และยังนิยมปลูกเป็นแนวรั้วบ้านตามชนบท

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรฝาง

  • ฝางมีฤทธิ์เป็นยาขับประจำเดือน ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด จึงไม่ควรนำไปใช้กับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์[16]
References
  1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “ฝาง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com.  [29 เม.ย. 2014].
  2. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “ฝาง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com.  [29 เม.ย. 2014].
  3. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ).  “ฝาง”.  หน้า 113.
  4. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “ฝาง Sappan Tree”.  หน้า 69.
  5. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  “ฝาง (Fang)”.  หน้า 184.
  6. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, พิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “ฝาง”.  หน้า 516-517.
  7. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  “ฝาง”.  หน้า 362.
  8. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยาชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน).  “Sappan tree, Indain red, Brazilwood”.  อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่มที่ 13 ว่าด้วยสมุนไพรแต่งสี กลิ่น รส (สมพร หิรัญรามเดช).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [29 เม.ย. 2014].
  9. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “ฝาง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [29 เม.ย. 2014].
  10. โรงเรียนบ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก.  “น้ำสมุนไพรฝาง เพื่อสุขภาพ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: school.obec.go.th/sumkheelek/. [29 เม.ย. 2014].
  11. งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29.  “ฝางเสน”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: ict2.warin.ac.th/botany/.  [29 เม.ย. 2014].
  12. ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอวังวิเศษ.  “ภูมิปัญญาชาวบ้าน เทคนิคการทำให้ขนุนออกดอกตรงตำแหน่งที่เราต้องการ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: trang.nfe.go.th/nfe14/.  [29 เม.ย. 2014].
  13. นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 157 มกราคม 2557.  (มีคณา).
  14. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน).  “ฝาง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [29 เม.ย. 2014].
  15. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ฤทธิ์กันเสียของฝาง (Caesalpinia sappan L.) ในผลิตภัณฑ์อาหารประเภทน้ำพริก”. (นฤพร สุทธิสวัสดิ์, ศุทธินี ธไนศวรรยางกูร).
  16. กลุ่มรักษ์เขาใหญ่.  “ฝางเสน สร้างเลือด สร้างภูมิ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rakkhaoyai.com.  [29 เม.ย. 2014].
  17. มูลนิธิสุขภาพไทย.  “แก้ไอเจ็บคอด้วยฝาง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org.  [29 เม.ย. 2014].
  18. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “สรรพคุณและพิษของฝางแดง ม้ากระทืบโรง กำแพงเจ็ดชั้น”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th.  [29 เม.ย. 2014].
  19. ไทยโพสต์.  “เครื่องดื่มฝางใครรู้จักบ้างยกมือขึ้น”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net.  [29 เม.ย. 2014].
:

ข้อความจาก .นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 157 มกราคม 2557 โดย มีคณา, ข้อมูลโดย ฟรินน์ดอทคอม
ภาพประกอบจาก . Gyn Shop ถ่ายโดย คุณพีรศักดิ์ ยอดสง่า
 ภาพประกอบ
 www.flickr.com (by Nelindah, Mike Bush, Foggy Forest, SingWay), www.pharmacy.mahidol.ac.th, www.hinsorn.ac.th

 

แก้ปวดหลัง






 
 
 
วันละ 150 วินาที ห่างไกลโรคปวดหลัง

ผู้เขียนมีโรคปวดหลังจากหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับ
เส้นประสาท มานานร่วม 20 ปี ผ่าตัดมาแล้ว 2 ครั้ง นอนรอคิวผ่าตัดครั้งที่ 3 ที่ รพ.เลิดสิน

ทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี รักษาจากแพทย์หลายท่านที่ชื่อเสียงระดับปร...ะเทศ
แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งอาการปวดที่เกิดขึ้นบ่อยๆได้

จนวันนี้มีอาการดีขึ้นจึงอยากสรุป
ความเห็นเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ

อาการเริ่มแรกเกิดจากก้มตัวยกของอย่างไม่ถูกท่า มีอาการแปล๊บขึ้นที่กระดูก
สันหลังบริเวณบั้นเอว จนขยับขาทั้งสองข้างไม่ได้ อีก 5 นาทีเริ่มทุเลาจึงค่อยๆขึ้นรถ
ขับไปหาหมอด้วยตนเอง แบบเดินลากขาอย่างช้าๆ

หมอที่คลินิคว่ากล้ามเนื้ออักเสบ จึงฉีดยาแก้ปวดและอักเสบ ให้ กลับบ้าน หยุดงานเดินไม่สะดวกไป 3 วัน

หลังจากนั้นอาการแปล๊บๆ ก็จะเกิดปีละ 2-3 ครั้งอยู่หลายปี ทุกครั้งต้องหยุดพักอย่างน้อย 3-4 วันเพราะลุกไม่ไหว

จนไปพบแพทย์เฉพาะทางซึ่ง
นับเป็นกระบี่มือหนึ่งของจังหวัด รักษากันเป็นปี โดยเริ่มจากยากิน ยาฉีด และเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ดูอาการ จนสุดท้ายหมอสั่งให้ไปทำเอ็กซเรย์ MRI ที่รพ.บำรุงราษฎร์ กทม.
ซึ่งขณะนั้นมีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย พบว่าหมอนรองกระดูกสันหลังมันปลิ้นออกมาขวางดันไขสันหลังและเส้นประสาท จนเกิดอาการชาไปถึงหลังเท้า

หมอเลยผ่าตัดขูดเอาหมอนรองกระดูกที่แตกออก โดยเปิดแผลคืบนึงที่หน้าท้อง พร้อมทั้งตัดกระดูกเชิงกราน
มาแว่นนึงขนาดเท่ากับหมอนรองกระดูกที่ขูดออก อัดเข้าไปรับช่องว่างข้อกระดูกสันหลังแทน ซึ่ง
แน่นอนมันจะส่งผลให้ข้อต่อส่วนนี้ไม่มีการยืดหยุ่นอีกต่อไป
เวลาผ่านไประยะนึงมันก็จะเชื่อมข้อบนและข้อล่างให้ต่อเป็นชิ้นเดียวกัน ผโดยต้อหยุดพักไปร่วมเดือน

หลังผ่าตัดก็ยังคงพบแพทย์เพื่อติดตามอาการเป็นปี ก็ไม่หายขาด แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าเก่ามาก
สุดท้ายหมอขอแก้ตัวอีกครั้งโดยการผ่าตัดจากด้านหลัง เปิดแผลช่วงกระดูกสันหลังที่มีปัญหา พร้อมยึดโยงข้อกระดูกสันหลังบนและล่างด้วยโลหะ เพื่อเสริมความแข็งแรงไม่ให้เกิดการเสียดสีหรือกดทับเส้นประสาทอีก พักไปเกือบ 3 อาทิตย์
แต่ก็พบว่าอาการที่ยังคงชาอยู่ที่หลังเท้า ไม่ได้หายขาด เลยรู้สึก
ปลงๆและไม่สนใจอะไรอีก
นานๆเป็นปีถึงจะเจ็บหนักๆสักครั้งนึง เลยยอมรับว่า
มันคงเป็นอย่างนี้แหละ

ล่วงเลยไปอีกหลายปี ประมาณปี 2544 ก็เริ่มปวดระดับต้องนอนพักถี่ขึ้น ไปพบแพทย์ที่รพ.กรุงเทพฯ
ซึ่งเป็นจาก รพ.เลิดสิน เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก เอ็กซเรย์ ไปหลายครั้ง ทั้งธรรมดาและแบบ
สแกนคอมพิวเตอร์ แต่ก็เห็นไม่ชัด เลยต้องลองทำ MRI อีกครั้ง
ปรากฏว่าภาพเกิดแสงสะท้อนมาก จนดูไม่รู้เรื่องเพราะมีโลหะอยู่ข้างใน สุดท้ายหมอขอฉีดสีเข้าไขสันหลัง เพื่อให้ภาพเอ็กซเรย์ชัดเจนขึ้น
พบว่ามีหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท
เพิ่มอีก 2 ตำแหน่ง คือ ข้อบน และข้อล่างของข้อที่เคยมีปัญหามาก่อน

ซึ่งเกิดจากข้อที่เสียไปไม่ยืดหยุ่น จึงไปเพิ่มภาระให้กับข้อบนและล่างมากกว่าปกติ...

สุดท้ายนัดให้ไปที่รพ.เลิดสินเพื่อผ่าตัด นอนรออยู่ 3 วัน คณะแพทย์แจ้งยกเลิกนัด เพราะไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่จะผ่าตัดจุดเดิมซ้ำหลายครั้ง
เลยจำใจอดทนรับการเจ็บปวดปีละหลายหนต่อไป

จนกระทั่งปี 46 มีคุณหมอท่านหนึ่งของ รพ.จุฬาฯ สรุปอย่างตรงประเด็นให้ฟังว่า โรคนี้มันรักษา
 ไม่หายขาดหรอก หากเจ็บบ่อยหรือชาขามากก็ผ่าตัดสถานเดียว
 แต่มีทางช่วยป้องกันและลดการเจ็บปวดได้ โดยต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้
 แข็งแรง เพื่อยึดกระดูกสันหลังให้มั่นคง หมอสอนท่าบริหารมาให้หลายท่า ซึ่งใช้เวลาต่อครั้งเกินชั่วโมง ทำอยู่ได้ไม่กี่วันก็ยอมแพ้
 จนไปพบคุณหมอสมศักดิ์ที่รพ.กรุงเทพฯ บอกว่าถ้าท่านผ่าตัดตั้งแต่แรก
 จะต้องบังคับให้ทำกายภาพบำบัดหลังแผลหายดีแล้ว ซึ่งก็คงจะทำให้ไม่ต้องมาพบหมออีกเหมือนตอนนี้ เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากอีก
 คุณหมอได้อธิบายวิธีการบริหารที่รู้สึกได้เลยว่าหมูมาก และใช้เวลาน้อยมากๆต่อวัน จึงเริ่มทำต่อเนื่องมาได้ 2-3 เดือนแล้ว รู้สึกว่าแผ่นหลังแข็งแรงขึ้น พร้อมกับหน้าท้องก็
 เฟิร์มขึ้น
 ที่สำคัญอาการเจ็บแปล๊บๆที่เป็นบ่อยแต่ไม่รุนแรงหลายเดือนก่อนหายขาดไปเลยเหมือนปลิดทิ้ง
 อย่างนี้เลยต้องยกเครดิตให้การบริหารกล้ามเนื้อหลังเป็นพระเอกตัวจริง
 อยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าทำยังไง
 เอ้าฟังนะ.....ตื่นเช้าทุกวันให้บริหารกล้ามเนื้อหลังดังนี้
• นอนหงายยืดเท้าตรงแนบชิดกัน
• ยกปลายเท้าลอยสูงขึ้นประมาณหนึ่งฟุต (ไม่ควรยกให้สูงกว่านี้)
• ฝืนค้างไว้พร้อมนับสิบวินาที
• ครบแล้วลดปลายเท้าวางลงพักห้าวินาที...ดังนี้คือหนึ่งเซ็ท
• ทำติดต่อกันรวมสิบเซ็ท นั่นหมายถึงใช้เวลาไปรวมร้อยห้าสิบวินาทีต่อวันเท่านั้น
 เห็นแล้วยังครับ ว่ามันง่ายมากจริงๆ
• แต่ละสัปดาห์ให้เพิ่มน้ำหนักห้าร้อยกรัมถ่วงไว้ (อาจใช้ถุงทรายที่มีขายทั่วไป)
• น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆสร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อหลังเพื่อแก้ปัญหาที่เหตุ
• น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะสิ้นสุดที่เท่าใดเหรอครับ คุณหมอบอกว่าจนกว่ายกไม่ไหว...แต่
• น้ำหนักขั้นต่ำที่แต่ละคนต้องยกให้ได้มีวิธีคำนวณดังนี้ครับ
 น้ำหนักขั้นต่ำที่ต้องยกได้ = น้ำหนักตัว – น้ำหนักท่อนขาสองข้าง / 10
โดยปรกติน้ำหนักท่อนขาสองข้างประมาณ 10 กิโลกรัม ถ้าอ้วนหรือผอมกว่าปกติก็
 ปรับเพิ่มหรือลดเอาตามความเหมาะสม
 หวังว่าวิทยาทานในการบริหารด้วยตนเองวันละ 150 วินาที จะช่วยให้ผู้เป็นโรค
 ปวดหลังคลายทุกข์ได้ในเร็ววันนี้นะครับ และขอให้ผลบุญที่ช่วยให้ผู้อื่นคลายทุกข์
 จงอย่าได้มีอาการปวดหลังมากล้ำกลายข้าพเจ้าอีกต่อไปเลย

ที่มา วิวัฒน์ อัครวิเนค
facebook ของ องุ่น อ้วนๆกลมๆ

แก้หลอดเลือดหัวใจ

แพทย์เฉพาะทางด้านหลอดเลือดหัวใจเห็นทีจะตกงาน เมื่อมีสูตรลับสุดยอดที่จะไม่ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด
 ซึ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน เมื่อเขาได้เดินทางไปประชุมที่ประเทศปากีสถาน และเกิดอาการเจ็บหน้าอกอย่างฉับพลัน ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลและตรวจพบว่า เส้นเลือดสามเส้นที่ลำเลียงเข้าสู่หัวใจของเขาเกิดการอุดตัน ต้องทำการผ่าตัด ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ในช่วงเวลานั้นเขาได้ไปพบนักบำบัดชาวมุสลิมโบราณ ชื่อ Hakim, Hakim ได้ปรุงยาให้เขาทานเป็นเวลานาน 1 เดือน หลังจากนั้นเขาได้กลับไปที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้งเพื่อตรวจอาการ กลับพบว่า เส้นเลือดทั้งสามเส้นนั้นไม่พบการอุดตัน
 เนื่องจากชายผู้นี้ป็นผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาคริสต์ และต้องการช่วยเหลือผู้คน จึงได้นำเอาภาพของเส้นเลือดทั้งสามเส้น ทั้งที่ตรวจพบการอุดตัน และหลังจากการบำบัด ซึ่งในภาพได้แบ่งปันถึงสูตรนั้น อัพโหลดสู่อินเตอร์เน็ต

 วัตถุดิบ: มะนาวหนึ่งลูกครึ่ง และขิง 2 ชิ้นใหญ่ และน้ำส้มสายชูจากแอปเปิ้ล 600 cc




วิธีทำ
1. ขิงปลอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นบางๆ
2. นำขิงใส่หม้อ เติมน้ำมะนาว น้ำส้มสายชู เปิดไฟแรงจนเดือดจึงลดไฟลงต้มต่อ โดยไม่ต้องปิดฝาหม้อ ใช้เวลาต้มประมาณครึ่งชั่วโมง หรือปริมาณของเหลวลดลงครึ่งหนึ่ง
3. วางทิ้งไว้ให้เย็น เก็บใส่ขวดปิดฝา ใส่ตู้เย็น ดื่มเวลาท้องว่าง โดยนำ 2 ช้อนโต๊ะ (30-40 cc) เจือจางกับน้ำเปล่า 500 cc แบ่งดื่มวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น
 เมื่อดื่มต่อเนื่องไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน จะไม่ตรวจพบเส้นเลือดเกิดการอุดตัน

น้ำผักผลไม้

" สูตรน้ำผักผลไม้ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ "

น้องที่ทำงาน มีญาติเป็นมะเร็ง 2 คน
หมอนัดให้ทำคีโม 1 คน ผ่าตัด 1 คน โดยให้ไป
พักผ่อน 1 - 2 อาทิตย์ก่อนรักษาระหว่างนั้นเอง
น้องที่ทำงาน ได้สูตรน้ำผักผลไม้ของฟ้าหญิงฯมา ...
ก็เลยลองให้ญาติทานดู แทนน้ำเลย วันละ 1 ลิตร
เป็นเวลา 2 สัปดาห์เท่านั้น ไปตรวจอีกครั้งก้อนเนื้อ
ที่เป็นมะเร็ง เล็กลงจนเกือบไม่มีเลย 1 คน ส่วนอีก
คนมะเร็ง หายไปเลย ไม่น่าเชื่อ เค้าตื่นเต้นกันมาก
หมอรพ.จุฬา ขอสูตรกันยกใหญ่ ตอนนี้น้องๆ ที่แผนก
เลยสั่งกินกันทุกวัน เพื่อเป็นภูมิต้านทาน ส่วนใคร
ที่มีญาติเป็นมะเร็ง นำสูตรนี้ไปทำให้กินได้เลย
หรือบอกต่อๆ กันไป...เป็นอานิสงฆ์นะจ๊ะ

╭⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠╯

น้ำผักผลไม้สูตรในวัง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
มีผิวพรรณสดใสโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็น
โรคมะเร็งจะดีมาก มีคนแถวบ้านเป็นมะเร็ง
อายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ต้องให้คีโม
แต่ปรากฏว่าพอรับประทานน้ำผลไม้สูตรนี้ไป
เป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดือนปรากฏว่า
มีผมงอกขึ้นและแข็งแรงขึ้นมากจนหมอตกใจ
ลองนำไปปั่นทานกันดูดีต่อสุขภาพมาก
ส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย
╭⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠╯
1. แอปเปิ้ล 1 ผล
2. แครอท 1 ลูก
3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
5. มะนาว 1 ลูก
6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว
(ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
9. ฝรั่ง 1 ผล
10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก
11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ

╭⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠╯
นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร
ในกรณีที่เป็นคนป่วยให้รับประทานวันละ 1 ลิตร
แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็น
ได้ประมาณ 2-3 วัน
 
รูปภาพ : " สูตรน้ำผักผลไม้ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ "

น้องที่ทำงาน มีญาติเป็นมะเร็ง 2 คน 
หมอนัดให้ทำคีโม 1 คน ผ่าตัด 1 คน โดยให้ไป
พักผ่อน 1 - 2 อาทิตย์ก่อนรักษาระหว่างนั้นเอง
น้องที่ทำงาน ได้สูตรน้ำผักผลไม้ของฟ้าหญิงฯมา 
ก็เลยลองให้ญาติทานดู แทนน้ำเลย วันละ 1 ลิตร 
เป็นเวลา 2 สัปดาห์เท่านั้น ไปตรวจอีกครั้งก้อนเนื้อ
ที่เป็นมะเร็ง เล็กลงจนเกือบไม่มีเลย 1 คน ส่วนอีก
คนมะเร็ง หายไปเลย ไม่น่าเชื่อ เค้าตื่นเต้นกันมาก
หมอรพ.จุฬา ขอสูตรกันยกใหญ่ ตอนนี้น้องๆ ที่แผนก
เลยสั่งกินกันทุกวัน เพื่อเป็นภูมิต้านทาน ส่วนใคร
ที่มีญาติเป็นมะเร็ง นำสูตรนี้ไปทำให้กินได้เลย
หรือบอกต่อๆ กันไป...เป็นอานิสงฆ์นะจ๊ะ

╭⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠╯

น้ำผักผลไม้สูตรในวัง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง 
มีผิวพรรณสดใสโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็น
โรคมะเร็งจะดีมาก มีคนแถวบ้านเป็นมะเร็ง
อายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ต้องให้คีโม
แต่ปรากฏว่าพอรับประทานน้ำผลไม้สูตรนี้ไป
เป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดือนปรากฏว่า
มีผมงอกขึ้นและแข็งแรงขึ้นมากจนหมอตกใจ 
ลองนำไปปั่นทานกันดูดีต่อสุขภาพมาก 
ส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย
╭⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠╯
1. แอปเปิ้ล 1 ผล
2. แครอท 1 ลูก
3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
5. มะนาว 1 ลูก
6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว 
(ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
9. ฝรั่ง 1 ผล
10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก
11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ

╭⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠⇠╯
นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร
ในกรณีที่เป็นคนป่วยให้รับประทานวันละ 1 ลิตร
แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็น
ได้ประมาณ 2-3 วัน

1 ไลท์ หรือ 1 แชร์ของคุณอาจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้นะคะ ลองทำดูก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าหายก็ถือเป็นโชคดี ถ้าไม่หายก็ไม่มีอะไรเสีย เพราะส่วนผสมเป็นพื้ชผักธรรมชาติทั้งสิ้นค่ะ

กำจัดแมลงสาบ

เด็กหญิงเจนจิรา โพนยงค์ นักเรียนชั้นประถมปีที่ 6 โรงเรียนสมเด็จประชานุเคราะห์หนึ่งในผู้คิดค้นสารกำจัดแมลงสาบ เด็กป.6 ค้นพบสารกำจัดแมลงสาบสูตรตายยกรัง

เด็กนักเรียนประถมโรงเรียนสมเด็จประชานุเคราะห์ หัวใสคิดค้นสารกำจัดแมลงสาบ
สัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคร้ายสูตรตายรังได้สำเร็จ สามารถกำจัดแมลงสาบได้ดีโดยไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

แมลงสาบ สัตว์ที่มีนิสัยทำลายข้าวของ ขับถ่ายสกปรก ส่งกลิ่นเหม็น และเป็นตัวแพร่กระจายเชื้อโรคมาสู่คนมากมาย

ได้แก่โรคทางเดินอาหาร อหิวาตกโรค ไทฟอยด์ ภูมิแพ้ และโรคหอบหืด

สารกำจัดแมลงสาบที่นักเรียนโรงเรียนสมเด็จประชานุเคราะห์ อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์
ค้นพบและสามารถกำจัดแมลงสาบให้กลับไปตายที่รังได้สำเร็จ

มีส่วนประกอบสำคัญคือ
ปูนซีเมนต์ผง
ผงแป้งข้าวจ้าว
และผงโอวัลติน

ซึ่งเมื่อนำผง 3 ชนิดมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันมากที่สุดแล้วนำไปวางไว้ในที่ที่มีแมลงสาบซุกชุม
พร้อมนำน้ำไปวางใกล้ๆ แมลงสาบจะมากินสารกำจัดแมลงสาบและน้ำแล้วจะกลับไปตายที่รังของมัน
ซึ่งเป็นวิธีการกำจัดแมลงสาบที่ไม่มีพิษตกค้าง และเป็นอันตรายต่อมนุษย์เหมือนกับ
การกำจัดแมลงสาบโดยวิธีการใช้สารเคมีฉีดพ่น

เด็กหญิงเจนจิรา โพนยงค์ กล่าวว่า

ส่วนประกอบของสารกำจัดแมลงสาบที่นำผสมกันจะมีคุณสมบัติและทำหน้าที่แตกต่างกันไป คือ
1.โอวัลตินจะเป็นสารที่ล่อให้แมลงสาบมากินสารกำจัดแมลงสาบ
2.แป้งข้าวจ้าวจะทำให้แมลงสาบหิวน้ำเมื่อกินเข้าไป
3.ส่วนปูนซีเมนต์จะทำให้แมลงสาบแน่นท้องและตายเมื่อกินสารกำจัดแมลงสาบและน้ำเข้าไป

ทุกคนทุกบ้านสามารถผลิตสารกำจัดแมลงสาบแบบง่ายๆนี้และนำไปใช้ได้เองอย่างปลอดภัย
ไม่มีสารตกค้าง ให้เป็นอันตรายกับชีวิต

ต้องขอชื่นชมเด็กไทย หัวใส มีสติปัญญาไม่แพ้ประเทศไหนในโลกใบนี้เหมือนกัน
ต้องช่วยกันเผยแพร่สิ่งดีๆ นี้ให้รู้กัน


ที่มา http://www.momypedia.com


ขอบคุณ : ข่าวไทยเรา เพื่อคนไทย สังคมไทย

น้ำสัมสายชู

น้ำสัมสายชู

 
1. ยามไปเที่ยวทะเล เจอแมงกะพรุนไฟเข้า ราดน้ำส้มตรงบริเวณที่ถูกแมงกะพรุนทันที จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ทันใจ2. ผิวที่เจอแดดจัดๆจนเป็นรอยเกรียมลูบด้วยน้ำส้มสายชู ผิวที่ไหม้จะไม่พองให้ปวดแสบ
3. ใช้น้ำส้มสายชูดองเปรี้ยวผักต่างๆ เช่น ต้นหอม ผักเสี้ยน กระเทียม ขิง จะถนอมอาหาร
4. รองเท้าหนัง รองเท้ายาง หรือสารสังเคราะห์ใดๆ ก็ตาม หากเปื้อนน้ำมันให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูแล้วจะหมดรอย
5. กระจกบานเกล็ดสกปรก ล้างด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดรับรองเงางาม สะอาด ใส
6. หม้ออะลูมิเนียมเป็นคราบดำ น้ำส้มสายชูละลายขี้เถ้าใต้เตาถ่าน ขัดถูสะอาดเอี่ยม
7. ภาชนะทองแดง ทองเหลือง ขัดด้วยน้ำส้มผสมเกลือในอัตราส่วนเท่ากัน ใช้ผ้านุ่มจุ่ม
พอหมาดเช็ดถูจะแวววาวขึ้น

8. ของใช้พลาสติก ตลอดจนภาชนะอื่นๆในครัวเปื้อนไขมันมากจนเป็นรอยดำ ให้แช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชู รอยเปื้อนจะหายไปพร้อมกับกลิ่นอาหาร
9. ปัญหาของเตาอบ ถาดอบ เครื่องครัวแสตนเลสและพื้นครัว เป็นคราบสกปรกล้างยาก ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดถู คราบฝังแน่นกับเศษอาหารตามพื้นจะหลุดง่าย ไม่เปลืองแรงขัด
10. เฟอร์นิจอร์ ฝาผนังบ้านด่างดำ มีคราบนิ้วมือของสมาชิกตัวเล็ก ใช้ผ้านุ่มชุบน้ำส้มสายชูร้อนๆ เช็ดปุ๊ปหายปั๊ป
11. อ่างล้างมือ อ่างอาบน้ำ ราวโครเมียมสกปรก เป็นสนิม น้ำส้มสายชูกับน้ำสบู่ เช็ดถู ทุกอย่างเงางามสะอาดตา
12. รอยเปื้อนเสื้อผ้าบริเวณรักแร้ที่เป็นคราบเหลือง ใช้น้ำส้มสายชูทาตรงรอยเปื้อนให้ชุ่ม หากได้แช่เสื้อผ้าในน้ำส้มสายชูสักครู่ก่อนซักตามปกติ กลิ่นเปรี้ยวและเหม็นอับจากเหงื่อจะหายไปพร้อมรอยเปื้อน
13. กลิ่นอาหาร กลิ่นผลไม้แรงๆอย่างทุเรียนที่ติดตามภาชนะพลาสติกนั้น ให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูตามด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง
14. ท่อระบายน้ำภายในอาคารบ้านเรือนที่มักสกปรกเร็ว ตามด้วยกลิ่นเหม็นรุนแรงรบกวนความสุข ให้เทผงฟูลงท่อน้ำร่องไปก่อน 1 กำมือ สักครู่ตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วย ทิ้งไว้สักพัก ลองเปิดน้ำระบายดูอีกที
15. เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อวัว เนื้อควาย ถ้าแช่น้ำเกลือผสมน้ำส้มสายชูก่อนเก็บเข้าตู้เย็น กลิ่นคาวจะไม่ออกมารบกวนอาหารอื่นๆด้วย
16. ฝักบัวในห้องน้ำเกิดอุดตันใช้ไม่สะดวก น้ำที่ไหลกะปริดกะปรอย ลองถอดชิ้นส่วนออกมาแช่น้ำส้มสายชูปัดเศษฝุ่นด้วยแปรง แทงตามรูด้วยเข็มหมุด ล้างให้สะอาดประกอบเข้าที่เดิม คราวนี้ฝักบัวไหลฉลุยแน่นอน
17. ขวด แจกัน คนโทที่ปากแคบคอดเล็ก ทำความสะอาดยาก กรอกน้ำส้มสายชู ผสมเปลือกไข่ทุบพอละเอียด แช่ไว้ แล้วเขย่าๆ เศษคราบสกปรกจะหลุดโดยง่าย
18. หม้อและกาต้มน้ำชากาแฟทั้งหลาย ใช้ไปนานๆ มักมีตะกรันหินปูนจับหนา ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำอย่างละถ้วย เทลงในภาชนะ ต้มให้เดือด แล้วทิ้งให้เย็นค้างๆไว้ 1 คืน ตะกรันจะหลุดเป็นกระบิทีเดียว
19. สุภาพสตรีที่ต้องการม้วนผม เซ็ทผมให้อยู่ตัว หรือหยิกทนนาน โกรกผมด้วยน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เมื่อสระและเซ็ทตามปกติ ผมจะหยิกเป็นลอนสลวย ทนนานสะใจหลายวัน
20. ไข่สดและใหม่มากเกินไป เวลาทำไข่ต้มมักมีปัญหาปอกเปลือกยาก ไข่เป็นรอยขรุขระ ไม่น่ารับประทาน ลองเติมน้ำส้มสายชูครึ่งช้อนชาลงในน้ำต้มไข่ ไข่ขาวจะไม่ติดเปลือก ปอกง่ายขึ้นกว่าเดิม
21. ต้มแปรงสีฟันขนแข็งๆ ในน้ำส้มสายชู ขนจะนุ่มไม่ทิ่มเหงือกให้เจ็บปากอีก
22. ปัญหาหินปูนจับตามเครื่องซักผ้า เครื่องล้างชาม แก้ด้วยน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย เทใส่เครื่องพร้อมปิดฝา เปิดเครื่องให้ทำงานตามปกติจะเห็นเครื่องสะอาดทันตา
หรือ วิธีรักษาเครื่องซักผ้า ให้ใช้น้ำอุ่นพอประมาณ ผสมน้ำสมสายชูสักครึ่งลิตรใส่ลงไปในเครื่องซักผ้า เปิดสวิตซ์ทำงานปกติ น้ำส้มสายชูจะช่วยไล่คราบฝุ่นออกจากตัวเครื่อง และป้องกันการอุดตันได้ด้วย

23. อยากรับประทานผัดไทย หอยทอด ขนมจีน กับถั่วงอก อวบอ้วน ขาว กรอบละก็แช่ถั่วงอกลงในน้ำผสมน้ำส้มสายชูไว้สักครู่
24. ดอกกุหลาบช่อใหญ่ อยากให้สดอยู่นานๆ น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 5 กรัม ผสมน้ำสะอาด 5 ถ้วย ให้ฉีดพ่นกุหลาบทั้งช่อ
25. แก้ปัญหาก้นหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ใช้ไปนานๆ เกิดคราบดำผสมคราบไคลน้ำข้าวจับหนาเตอะ อย่าใช้ฝอยขัดหม้อขัด ให้ใช้น้ำส้มสายชูครึ่งส่วนผสมน้ำ 1 ส่วน เติมลงหม้อ เสียบปลั๊ก รอจนเดือดปุดๆ จึงถอดปลั๊ก เทน้ำทิ้ง ล้างด้วยฟองน้ำจะออกง่าย
26. หยดน้ำส้มสายชูลงบนแว่นตา เช็ดด้วยผ้านุ่ม รอยขีดข่วนจะหายไป พร้อมคราบเหงื่อไคล
27. เสื้อผ้าสีขาวสะอาด เมื่อใช้ไปนานๆ มักกลายเป็นสีขาวขุ่น เพียงผสมน้ำส้มสายชูขณะซัก จะทำให้ผ้าขาวสะอาดยิ่งขึ้น
28. ลองใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดชำระล้างผมในน้ำครั้งสุดท้าย จะพบว่าช่วยล้างแชมพูได้สะอาดหมดจด เส้นผมเป็นเงางาม มีน้ำหนัก ปราศจากรังแคด้วย
29. แก้ปัญหาสีน้ำแห้งแข็ง ใช้น้ำส้มสายชูผสมทิ้งเอาไว้
สีน้ำที่แห้งแข็งก็จะอ่อนเหลว นำมาใช้ได้ใหม่อีกครั้ง

30. แก้ปัญหากะทะใหม่ ที่มักประสบปัญหาทอดอาหารแล้วติดกะทะ ก่อนนำกะทะมาใช้ให้เทน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำเท่าๆ กันลงในกะทะและนำไปตั้งไฟรอจนเดือด แล้วเทน้ำส้มสายชูทิ้ง ใช้น้ำสะอาดล้างอีกที จากนั้นก็ใช้งานตามปกติ
31. ย่างปลาไม่ให้ติดตะแกรง นำน้ำส้มสายชูมาทาให้ทั่วตะแกรงก่อนย่างปลา เวลาปลาสุกจะไม่ติด และทำความสะอาดตะแกรงง่าย
32. ขจัดคาวปลาหมึก ใช้น้ำส้มสายชูแกว่งกับน้ำ นำปลาหมึกมาแช่ไว้ 5-10 นาที กลิ่นคาวปลาหมึกจะหมดไป
33. ก่อนจะลอกหนังปลาหมึกให้แช่ปลาหมึกในน้ำส้มสายชูสักครู่ จะลอกหนังง่ายขึ้น
34. ป้องกันไม่ให้หัวปลีดำ ต้องแช่หัวปลีลงในน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง
35. หุงข้าวสวยให้เป็นปุย ใส่น้ำมะนาว หรือ น้ำส้มสายชู ลงในหม้อข้าวขณะหุง เมื่อข้าวสุกจะไม่เหนียวติดกัน
36. ทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมัน เติมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำมันเล็กน้อย
37. ขจัดรอยจีบกระโปรง ใช้ฟองน้ำชุบน้ำส้มสายชู ทาตรงรอยจีบให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าบางๆ ทาบรีดด้วยเตารีดอุ่นๆ รอยจีบกระโปรงหรือรอยเลาะตรงขากางเกงจะเรียบหายไปตามต้องการ
38. วิธีกำจัดมดในครัว ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดตรงทางเดินมด มดจะไม่เดินมาบริเวณที่เราเช็ดด้วยน้ำส้มสายชูไว้
39. ลวกลูกชิ้นปลาที่เก่าและเหม็นคาวให้อร่อย ลูกชิ้นปลาที่แช่ตู้เย็นไว้นานๆแล้วมีกลิ่นเหม็นคาว ให้ล้างด้วยน้ำผสมกับน้ำส้มสายชู จากนั้นจึงลวกลูกชิ้น แล้วค่อยนำไปประกอบอาหาร
40. รอยเปื้อนกาวบนเสื้อผ้า ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดที่รอยเปื้อน นำมาแช่ในน้ำเย็น แล้วซักตามปกติ
41. ใช้น้ำส้มสายชูผสมต้นโทงเทงสด หรือผักคราดหัวแหวนสดๆ คั้นเอาน้ำชุบสำลีอมไว้ข้างแก้ม ค่อยๆกลืนทีละนิด แก้ฝีในคอ หรือต่อมทอนซิลอักเสบได้ชะงักนักแล
42. แช่ผักชีสักก้านในน้ำส้มสายชู ดูว่าใบยังคงเขียวไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เพื่อทดสอบว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้

ที่มา https://www.facebook.com/ekanan.hassawai


วิธีหุงข้าวสวย ให้เก็บได้นานไม่บูด
วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีหุงข้าวสวยให้เก็บไว้ได้หลายวันโดยไม่บูดมาฝาก ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจาก กระทู้ในห้องก้นครัวของเว็บไซต์พันทิป ขออนุญาตนำมาแบ่งปัน
คุณลูกหมูใจดี โพสต์ไว้ว่า ที่บ้านเวลาหุงข้าวสวย จะใส่น้ำส้มสายชูลงไปด้วย โดยข้าวสาร 3 กระป๋อง ใช้น้ำส้มสายชูประมาณ 1 ช้อนชา
"เราทดลองหุงแล้วตักมาทาน แล้วปล่อยทิ้งไว้คาหม้อ 4-5 วัน มาไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้วค่ะ เพื่อพิสูจน์ว่ามันจะไม่บูดจริง ๆ โดยเปิดฝาดูทุกวัน ข้าวที่หุงทิ้งไว้ 4-5วัน เราก็เอามาทาน...จริง ๆ ไม่มีกลิ่นบูด ไม่แฉะ" ลูกหมูใจดียืนยัน
นับเป็นวิธีถนอมอาหารยามฉุกเฉินอีกวิธีที่น่าสนใจ ลองไปทำกันดู
ขอบคุณข้อมูลจาก http://urll.us/4wqlsU
ขอบคุณภาพจาก http://urll.us/eKJWAZ

แก้พิษแมงป่อง

ถอนพิษแมงป่อง
รูปภาพของ ทหารพระราชา นักรบธรรม นักรบไทยรูปภาพของ ทหารพระราชา นักรบธรรม นักรบไทย
การถอนพิษแมงป่องต่อย
ผมไปได้ข้อมูลจากครูบำนาญท่านหนึ่ง บอกว่าถ้าโดนแมงป่องต่อยบางคนแพ้พิษอย่างรุนแรงจะปวดมาก ไข้ขึ้นเลย แผลบวมอักเสบ นอนซมเลยทีเดียว มีวิธีถอนพิ...ษแบบง่ายๆโดยของใช้ในครัวเรือน คือ น้ำมะนาว กับ ผงชูรส มาผสมคนให้เข้ากันแล้วนำสำลีมาชุบน้ำนำไปแปะบริเวณแผลที่ถูกแมงป่องต่อยจะรู้สึกว่าตัวยาดูดพิษบริเวณถูกต่อยตุ๊บๆอย่างชัดเจน ทิ้งไว้สัก 10 นาที อาการปวดและแพ้พิษจะหายได้อย่างเหลือเชื่อ เลยนำมาบอกเป็นวิทยาทานส่วนจะได้ผลขนาดไหนนั้นต้องลองดูเอาเองครับ

ที่มา https://www.facebook.com/loveking.blackarmy

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล (Apple Cider Vinegar)











น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล (Apple Cider Vinegar) ทำจากแอปเปิลสุกจัดจากต้นเพราะแอปเปิลที่สุกคาต้นนั้นมีคุณประโยชน์สูง นอกจากนี้ยังต้องปลูกด้วยวิธีธรรมชาติแบบเกษตรอินทรีย์ (Organic) อีกด้วย เมื่อได้แอปเปิลสุกแล้วนำมาบดให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ นำน้ำแอปเปิลที่ได้หมักในถังไม้ให้เกิดปฏิกิริยาตามธรรมชาติ โดยจะเปลี่ยนน้ำตาลในน้ำแอปเปิลให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ เกิดเป็นกรดอะซิติก (Acetic acid) ซึ่งเป็นกรดอินทรีย์ตามธรรมชาติที่ไม่เป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหาร น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลที่ได้จะมีสีน้ำตาลอ่อน เมื่อส่องกับแสงจะสังเกตเห็นเส้นใยบางๆ เรียกว่า Mother อยู่ที่ก้นขวด 
ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลนั้นมีมากมายและเป็นที่รู้จักกันดีในทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอาหารธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพและชีวิตที่ยืนยาว ที่เป็นเช่นนี้เพราะแอปเปิลเป็นผลไม้ที่มี โพแทสเซียมสูง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเนื้อเยื่อ ผิวหนัง และเป็นสารอาหารที่สำคัญของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ทำให้เส้นเลือดแดงมีความยืดหยุ่น อีกทั้งยังเป็นตัวสำคัญในการต่อสู้กับแบคทีเรีย ไวรัส โดยเฉพาะคนที่ขาดสารโพแทสเซียม ซึ่งมักจะมีอาการปวดเมื่อยกระดูกและกล้ามเนื้อ เจ็บบริเวณหลังส่วนกลาง ตื่นนอนตอนเช้าก็รู้สึกมึนศีรษะ ผิวหนังรอบดวงตาเหี่ยวย่นก่อนวัย มือเท้าเย็นในบางครั้งและอาจเป็นตะคริว คันหนังศีรษะ มีรังแค ผมเริ่มบางและศีรษะล้านก่อนวัยอันควร และรู้สึกเหนื่อยง่าย หากคุณมีอาการเหล่านี้แสดงว่ากำลังขาดโพแทสเซียม และควรหาน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลมาช่วยบำบัดอาการที่เกิดขึ้น 

คุณสามารถนำน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยการชงผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 2-3 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยชะลอความแก่ ปรับสมดุลในร่างกาย กำจัดพิษในร่างกาย (Detox) บรรเทาอาการปวดหัว ช่วยการทำงานของหัวใจ ช่วยปรับระดับกรดและด่างในร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ บรรเทาอาการปวดข้อและโรคเกาต์ ช่วยกำจัดนิ่วในไตและในถุงน้ำดี บำรุงสายตา และช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปกติ 



สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหารและการดูดซึมอาหาร ให้ชงน้ำส้มสายชูหมักนี้ 1/3 ช้อนชากับน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มก่อนอาหาร 5 นาที โดยอมไว้ในปาก 3-5 วินาทีแล้วค่อยกลืน จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น และหากมีอาการเจ็บคอ คันคอ ให้ผสมในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำครึ่งแก้ว กลั้วคอทุกครึ่งชั่วโมง จะช่วยขับพิษออกจากคอได้
สุภาพสตรีที่กังวลกับความอ้วนสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้โดยการผสมน้ำส้มสายชูหมักนี้ 2 ส่วนต่อน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Virgin Olive Oil) 1 ส่วน นำมานวดกดบริเวณที่ต้องการลดอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือจะนวดตามข้อที่รู้สึกปวดก็ได้เช่นกัน แต่ถ้ารู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อให้ผสมกับน้ำอุ่นในในปริมาณ 1-2 ถ้วยลงในอ่างอาบน้ำ แล้วลงไปแช่พร้อมกับนวดตัว จะช่วยบรรเทาอาการลงได้ 

ส่วนผู้ที่รักผิวพรรณยังสามารถนำน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล ถ้วยกับน้ำสะอาด นำมาทาบางๆ ให้ทั่วตัว ช่วยให้ผิวพรรณสะอาดนวลเนียนขึ้น หากรู้สึกว่าผมแห้ง ขาดน้ำหนัก ผมร่วง มีรังแค ให้เทน้ำส้มสายชูหมักที่ว่านี้ 2 ช้อนโต๊ะลงในถ้วย แล้วนำสำลีก้อนที่เปียกน้ำจุ่มลงไป ทาให้ทั่วหนังศีรษะ ทิ้งไว้ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง แล้วสระออกตามปกติ 

ผู้ที่เป็นโรคความดันสูงให้ชงผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3-5 ครั้ง ลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์ลง และออกกำลังกายร่วมด้วย จะช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกขึ้น นอกจากนี้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลยังแก้อาการอาหารเป็นพิษได้ โดยผสมน้ำส้มสายชู 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว จิบครั้งละ 1-2 ช้อนชาทุก 5 นาที จะช่วยให้อาการดีขึ้น





1. ประโยชน์ 

- ช่วยในการกำจัดพิษในร่างกายโดยการสร้างเซลล์ใหม่ - ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย 
- ช่วยในระบบเผาผลาญแคลเซียม - ช่วยชะลอความชรา 
- ช่วยปรับระดับกรด - ด่าง ในร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล - ช่วยการทำงานของหัวใจ 
- ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปรกติ - บรรเทาอาการปวดศีรษะ 
- ช่วยในการขับถ่ายเป็นปรกติ - ช่วยกำจัดนิ่วในไต และในถุงน้ำดี 
- ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อและโรคเกาต์ - ช่วยในเรื่องของการฟังและปัญหาทางหู 
- ช่วยบำรุงสายตาและปัญหาเกี่ยวกับสายตา - ช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปรกติ 
วิธีการใช้ ผสม ACV 1-2 ช้อนชา กับน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนชาในน้ำบริสุทธิ์ 1 แก้ว ดื่ม 2 หรือ 3 เวลาต่อวัน เหมาะในการดื่มเป็นเครื่องดื่มแก้วแรกหลังตื่นนอน และก่อนอาหารเที่ยง, ก่อนอาหารเย็น 1 ชม. สามารถนำมาใช้ผสมเป็นน้ำสลัด และเครื่องปรุงอาหาร 

2. ประโยชน์ ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ
วิธีการใช้ นั่งแช่ในอ่างที่ผสมน้ำอุ่นกับ ACV 1 ถ้วย ทำเป็นประจำ 1-2 ครั้งต่อวัน 

3. ประโยชน์ ช่วยรักษาอาการเจ็บคอ คันคอ และขับพิษออกจากคอ
วิธีการใช้ ผสม AVC 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำ ? แก้ว กลั้วคอทุกครึ่งชั่วโมง แม้แต่ผู้มีสุขภาพดีก็ควรจะกลั้วคอ 1-2 ครั้งต่ออาทิตย์ เพื่อให้พิษออกจากร่างกาย 

4. ประโยชน์ ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน
วิธีการใช้ ผสมน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Virgin Olive Oil) 1 ส่วน กับ ACV 2 ส่วน แล้วนวดกดบริเวณที่ต้องการลด อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปวดตามข้อด้วย 

5. ประโยชน์ ช่วยรักษาสภาพผิว
วิธีการใช้ ก) ผสม ACV ? ถ้วยกับน้ำสะอาด ใช้มือทาให้ทั่วตัวจนผิวแห้ง โดยทาทิ้งไว้
ข) กรณีเป็นสิว ให้อังหน้าด้วยไอน้ำหรืออบไอน้ำ หลังจากนั้น ใช้ คอตตอนบัท ชุบ ACV ทาบนสิว เพื่อเช็ดสิ่งสกปรกออก แล้วอบไอน้ำอีกครั้งก่อนล้างออก ทำประมาณ 2 ครั้ง แล้วนำสำลีแผ่นชุบน้ำ ACV เย็น (น้ำ+ACV ในปริมาณที่เท่ากันและ
แช่เย็น) แปะไว้บนใบหน้าเพื่อปิดรูขุมขน ทำประมาณ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ 

6. ประโยชน์ ช่วยบรรเทาอาการผิวหนังไหม้
วิธีการใช้ ทา ACV ที่ผิวและพันทิ้งไว้ 

7. ประโยชน์ ช่วยบรรเทาอาการอาหารเป็นพิษ
วิธีการใช้ เติม ACV 1 ช้อนชาในน้ำ 1 แก้ว จิบครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 5 นาที 

8. ประโยชน์ ใช้แช่ผักที่มีสารพิษตกค้าง
วิธีการใช้ ผสม ACV 2-3 ช้อนโต๊ะในอ่าง แล้วนำผักลงแช่ 

9. ประโยชน์ ช่วยป้องกันอาการผมแห้ง หนังศีรษะมัน ผมร่วงและรังแค
วิธีการใช้ เท ACV 2 ช้อนโต๊ะในถ้วย นำสำลีก้อนที่เปียกน้ำมาแช่ใน ACV แบ่งผมออกเป็นส่วน และทาลงบนหนังศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที - 3 ชม. แล้วสระออก และสามารถใช้ล้างผมหลังสระ โดยผสม ACV 1/3 ถ้วยกับน้ำ 1 ถ้วย 

10. ประโยชน์ ช่วยรักษาโรคผิวหนัง เช่น Eczema
วิธีการใช้ ดื่มเป็นเครื่องดื่มพร้อมทั้งทาผิว 

11. ประโยชน์ ช่วยบรรเทาอาการไซนัส ปวดหัว และเป็นไข้
วิธีการใช้ ผสม ACV 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 1 ถ้วย ในกระทะ ต้มให้เดือด เมื่อเริ่มมีไอระเหยให้ปิดไฟ นำผ้ามาคลุมศีรษะและ
ก้มหน้าใกล้กระทะ เพื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ 

12. ประโยชน์ ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ
วิธีการใช้ ผสม ACV 1-2 ถ้วยในอ่างอาบน้ำที่มีน้ำอุ่นผสม แล้วนวดช้าๆ ทั่วทั้งตัว 

13. ประโยชน์ ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร
วิธีการใช้ ผสมน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ กับ ACV 1/3 ช้อนชา และดื่มก่อนอาหาร 5 นาที โดยอมไว้ในปาก 3-5 วินาทีก่อน
กลืน 


เครดิต http://pantip.com/profile/857492